วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2551

การแต่งกายไปสัมภาษณ์




เสริมเสน่ห์... การแต่งกายไปสัมภาษณ์งาน

การแต่งกายไปสมัครงานหรือสอบสัมภาษณ์ อาจมองดูเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณสาวๆ ที่เจนเวทีทั้งหลายที่ทราบว่าจะเลือกเสื้อตัวนี้ให้เหมาะกับกระโปรงตัวนั้นผมต้องทำทรงนี้ เครื่องประดับต้องใส่ชิ้นเล็กหรือชิ้นใหญ่จึงจะดูดี มีบุคลิกที่เป็นตัวของตัวเองแต่ยังมีคุณสาว ๆ อีกไม่น้อยที่อาจจะนึกภาพไม่ออกว่าควรแต่งกายอย่างไรดี หรือในบางคนก็มั่นใจใส่กระโปรงสั้นผ่าหน้าผ่าหลัง เสื้อรัดรูปโชว์หุ่นอันแบบบาง ขอบอกว่าไม่ควรค่ะไม่ควร ผู้รับสมัครอาจมองว่าคุณหุ่นดี แต่ในใจอาจตำหนิว่าที่นี่ไม่ใช่เวทีแคทวอล์คของนางแบบหรือบรรดานางงามทั้งหลาย นั่นอาจจะทำให้คุณพลาดโอกาสอันงามไปโดยไม่รู้ตัว ความมั่นใจน่ะมีได้เป็นสิ่งที่ดี แต่ทั้งนี้อย่ามองข้ามกาลเทศะไปเชียวนะ


1. ชุดที่สวมใส่ควรเป็นชุด 2 ชิ้น แยกท่อนบน ท่อนล่าง จะดูเป็นทางการและทะมัดทะแมงมากกว่าชุดแซ็คชิ้นเดียวนะคะ


2. ชุดที่สวมใส่ควรเป็นชุด 2 ชิ้น แยกท่อนบน ท่อนล่าง จะดูเป็นทางการและทะมัดทะแมงมากกว่าชุดแซ็คชิ้นเดียวนะคะ
ถ้าหากสถานที่ที่คุณไปสมัครนั้น เป็นองค์กรหรือหน่วยงานที่ค่อนข้างมีพิธีรีตรองมาก เสื้อเชิ้ตเรียบ ๆ ตัวเดียวอาจจะยังไม่ดูเป็นทางการพอ แนะนำให้สวมทับด้วยสูทหรือแจ็คเก็ตผ้าแบบเรียบ ๆ (ที่ไม่ใช่ผ้ายีน) สีดำ สีเทา สีเบจ หรือสีครีม จะช่วยเน้นบุคลิกภาพที่เรียบสง่าและดูดี



3. ไม่ควรเป็นสูทตัวโคร่ง ๆ แนะนำให้เลือกสูทเข้ารูปแบบเก๋ ๆ สักตัว จะทำให้คุณดูเป็นสาวมาดมั่นมากกว่าสูทตัวโคร่งสำหรับสาวโบราณอย่างแน่นอนค่ะ


4. พวกรองเท้าสวมเปลือยส้นไม่มีสายรัดข้อเท้าเก็บใส่กล่องเอาไว้ก่อน หันมาสวมรองเท้าคัชชูปิดนิ้วเท้า จะเป็นการสุภาพกว่าหลายท่านอาจร้องยี้ว่าเหมือนคุณครู ไม่จริงหรอกค่ะเดี๋ยวนี้แบบเรียบแต่มีสไตล์วางจำหน่ายอยู่ดาษดื่น ลองเลือกสวมใส่กันดูนะคะ


5. กระเป๋าควรเลือกที่ดูไม่แฟชั่นจนเกินไป ใบไม่ใหญ่เกินพอดี เพราะอาจทำให้ดูเกะกะไม่คล่องตัว ที่สีสันแสบสุดเก็บไว้ใช้ในงานปาร์ตี้จะดีกว่า ควรเลือกโทนสีขรึมจะช่วยให้คุณดูน่าเชื่อถือไม่น้อยทีเดียวค่ะ


6. เครื่องประดับประเภทห้อยระย้า หรือห่วงใหญ่จนเกินงาม อาจทำให้คุณดูเปรี้ยวจี๊ดมั่นมาดได้ก็จริงอยู่ แต่ถ้าหากจะให้ดูดีเหมาะแก่การไปสมัครงานคงไม่ต้องอลังการมาก แค่เล็ก ๆ แต่ดูดีมีสไตล์ ก็สามารถเอาชนะใจผู้รับสมัครงานไปเกินร้อยแล้วล่ะค่ะ


7. ที่สำคัญคำพูด คำจา ให้อ่อนหวาน อ่อนน้อม ฉลาดฉะฉานในการสนทนา อย่าลืมยกมือไหว้ทักทายกัน จะยิ่งเป็นการเสริมเสน่ห์ให้ตัวคุณอีกแบบเต็ม

โปรแกรมระบบจัดเก็บเอกสาร





โปรแกรมระบบจัดเก็บเอกสาร

E - Document Management System


โปรแกรมระบบจัดการเอกสาร E-Document Management System เป็นระบบที่ใช้ใน การจัดการ จัดเก็บ เอกสาร ในรูปแบบของไฟล์ (Digital File) ผ่านระบบเครือข่าย (Network) ผ่าน Web-Based Application โดยมีการจำลองโครงสร้างการจัดเก็บเสมือนจริง ประกอบด้วย ตู้, ลิ้นชัก, แฟ้ม และ แฟ้มย่อย ซึ่งสามารถสร้างได้ไม่จำกัด ทั้งยังรองรับการนำเข้าทั้งรูปแบบไฟล์ (Digital File) และการนำเข้าผ่านเครื่องแสกน High Speed Scanner (Hard Copy) เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้นคว้าเอกสาร สามารถใช้งานพร้อมกันได้ในเวลาเดียวกัน สะดวกในการสืบค้นข้อมูล รองรับการสืบค้นข้อมูลในเนื้อหาของเอกสาร และมีระบบจัดการความปลอดภัย โดยมีการเข้ารหัสไฟล์เอกสารบนเครื่องแม่ข่าย (Server) และ การกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงในระดับต่าง ๆ สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มได้ ดังนี้


ระบบจัดเก็บเอกสาร (Document Filing Management )

* จัดเก็บไฟล์เอกสาร Microsoft Word (.doc), Microsoft Excel (.xls), Microsoft PowerPoint (.ppt), Text File (.txt), Adobe Acrobat File (.pdf), ไฟล์รูปภาพ JPG, JPEG, TIFF, PDF และไฟล์มัลติมีเดีย Mpeg, MPG, AVI, MP3

* นำเข้าเอกสารได้ทั้งแบบไฟล์ (Digital File) และนำเข้าผ่านเครื่องแสกน High Speed Scanner (Hard Copy)

* กำหนดอายุและต่ออายุของเอกสาร รวมทั้งมีการแจ้งเตือนเมื่อเอกสารใกล้หมดอายุ

* กำหนดดัชนี, รายละเอียดของเอกสาร และคำสำคัญควบคู่กับการนำเข้าเอกสาร เพื่อสะดวกในการสืบค้นเอกสาร

* กำหนดสิทธิ์ให้เป็นเอกสารเฉพาะกลุ่ม (Private Doc) หรือเอกสารสาธารณะ (Public Doc)

* จัดเก็บเวอร์ชั่นเอกสารที่มีการเปลี่ยนแปลง (Version Control) และกู้คืนได้


ระบบค้นหาสืบค้นเอกสาร (Document Search Engine Management )

* สืบค้นตามโครงสร้างการจัดเก็บเอกสาร จากชื่อ และข้อมูลประกอบของเอกสาร

* สืบค้นจากเนื้อหาของเอกสาร สามารถสืบค้นได้จากไฟล์ประเภทเอกสาร เช่น Microsoft Word (.doc), Microsoft Excel (.xls), Microsoft PowerPoint (.ppt), Text File (.txt), Adobe Acrobat File (.pdf) เป็นต้น


ระบบรักษาความปลอดภัยเอกสาร (Document Security Management)

* เข้ารหัสไฟล์เอกสารที่อยู่บนเครื่องแม่ข่าย (Server)

* กำหนดสิทธิ์การใช้งานตามโครงสร้างการจัดเก็บเอกสาร

* กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงโครงสร้างการจัดเก็บเอกสารของกลุ่มผู้ใช้ และผู้ใช้

* เก็บประวัติการเข้าสู่ระบบและการใช้งานต่าง ๆ ของผู้ใช้ (Log file)


การจัดการควบคุมและดูแลระบบ (Document Administration Console)


* จัดการกลุ่มผู้ใช้และผู้ใช้ได้ไม่จำกัด

* จัดการโครงสร้างการจัดเก็บเอกสารและจัดการพื้นที่ (Smart Space) ของโครงสร้างการจัดเก็บในแต่ละลำดับ

* ต่อเวลาเอกสารหมดอายุและกู้คืนไฟล์เอกสารที่ถูกเปลี่ยนแปลง (Version Control)

* สำรอง (Backup) ไฟล์เอกสาร เพื่อป้องกันไฟล์เอกสารมีปัญหา และ โอนย้ายไฟล์เอกสาร (Movement) เพื่อลดพื้นที่การจัดเก็บ (Space Size) ของโครงสร้างการจัดเก็บเอกสาร

* แสดงรายงานและสถิติ

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551

อาหารบำรุงสายตา

อาหารบำรุงสายตา



ที่มาของการมีสุขภาพที่ดีคือการพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ และรับประทานอาหารให้ร่างกาย ได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน รวมไปถึงการบำรุงรักษาสายตา ก็จำเป็นต้องรับประทานอาหารที่ให้คุณค่า เพิ่มวิตามินเอให้
กับร่างกายซึ่งทำได้ไม่ยาก เพียงบริโภคผักและผลไม้ให้พอเหมาะ เป็นประจำทุกวันอาหารที่บำรุงสายตาแหล่งอาหารได้มาจากวิตามิน A มากซึ่งเราจะพบได้ในผลิตผลจากสัตว์เช่น ตับ, ไข่แดง, นม, น้ำมันสกั
ดจากตับปลา หรือพืชที่มีสารสีเขียวจัด สีแสด สีเหลือง เช่น ผักบุ้ง, มะละกอ, ฟักทอง, ผักตำลึง, บล็อคโคลี่, แครอท, มะม่วงและอีกมากมายความต้อง
การของร่างกายใน 1 วันไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ มีความต้องการวิตามิน A ไม่ว่าจากพืชหรือสัตว์ซึ่งได้จาก


เด็ก • ต้องการอาหารที่ช่วยบำรุงสายตาเช่นตับไก่, ตับหมู, แครอท, ฟักทอง, ไข่แดง, ผักตำลึง, ผักโขม, ปูทะเล, ผักคะน้าและเนย

ผู้ใหญ่ • ความต้องการอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา เช่น ใบยอ, ตับไก่, ใบแมงลัก, ตับวัว, ใบโหระพา, ใบบัวบก, ผักชะอม, ผักกระถิน, พริกขี้หนู, มะม่วงสุก, ผักบุ้ง, มะละกอ


ควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่โดยเฉพาะอาหารต่อไปนี้ข้าวซ้อมมือ, ปลา, ตับ, เนื้อไก่, ผักสดและผลไม้ และรวมทั้งวิตามินต่างๆ ที่จำเป็นในการรักษาดวงตา

พาณิชย์อิเล็กทรอนิคส์ ( E- Commerce )




พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce)


พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce) หรืออีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) เริ่มขึ้นเมื่อประมาณต้นทศวรรษที่ 1970 โดยเริ่มจากการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างหน่วยงาย และในช่วงเริ่มต้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทใหญ่ๆ เท่านั้น บริษัทเล็กๆ มีจำนวนไม่มากนัก ต่อมาเมื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange-EDI) ได้แพร่หลายขึ้น ประกอบกับคอมพิวเตอร์พีซีได้ม ีการขยายเพิ่มอย่างรวดเร็วพร้อมกับการพัฒนาด้านอินเทอร์เน็ตและเว็บ ทำให้หน่วยงานและบุคคลต่าง ๆ ได้ใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ในปัจจุบันพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ครอบคลุมธุรกรรมหลายประเภท เช่น การโฆษณา การซื้อขายสินค้า การซื้อหุ้น การทำงาน การประมูล และการให้บริการลูกค้า
ความหมาย พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การทำธุรกรรมทุกรูปแบบโดยครอบคลุมถึงการซื้อขายสินค้า/บริการ การชำระเงิน การโฆษณาโดยผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะเครือข่ายทางอินเทอร์เน็ตกรอบแนวคิดของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์


ประเภทสินค้าของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สำหรับสินค้าที่ซื้อขายในพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ จำแนกได้ดังนี้

· สินค้าที่มีลักษณะเป็นข้อมูลดิจิทัล (Digital Products)
· สินค้าที่ไม่ใช่ข้อมูลดิจิทัล (Non-Digital Products)

พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มี 4 ประเภทหลัก ๆ คือ

· ธุรกิจกับธุรกิจ (Business to Business หรือ B to B)
· ธุรกิจและลูกค้า (Business to Consumers หรือ B to C))
· ธุรกิจกับรัฐบาล (Business to Government หรือ B to G)
· ลูกค้ากับลูกค้า (Consumers to Consumers หรือ C to

สำนักงานอิเลคทรอนิคส์

สำนักงานอิเลคทรอนิคส์ (E-Office)



สำนักงานอิเลคทรอนิคส์ (E-Office) คือ การใช้เทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์ และ เทคโนโลยีการสื่อสาร เพื่อปฎิบัติงานทั่วไป งานประจำวัน อย่างเช่น การจัดการเอกสาร จดหมายอิเล็คโทนิค การเก็บรักษาและแก้ไขกลุ่มข้อความ กลุ่มรูปภาพ งานทางบัญชี และ อื่น ๆ สำนักงานอิเลคทรอนิคส์ ยังรวมถึงระบบ เครื่อข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรมที่สามารถใช้ประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย



ระบบสำนักงานอิเลคทรอนิคส์ (E-Office) รวมถึง ระบบข้อมูลสำนักงานอัตโนมัติ เป็นระบบที่มีจุดประสงค์หลัก คือ การอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร ระบบเช่นนี้เป็น การนำเครื่องมือ เครื่องใช้ หลาย ๆ อย่าง รวมเข้าด้วยกัน, ใช้งานร่วมกัน, เก็บรักษา, นำไปใช้ และกระจายข้อมูล ระหว่างผู้ร่วมงาน แต่ละคน , ทีมงาน และธุรกิจ นั้น ทั้งภายใน และภายนอกองค์กร ตัวอย่างของเครื่องมือ สำนักงานอิเลคทรอนิคส์ เช่น เวิร์ดโปรเซสซิ่ง, เครื่องพิมพ์แบบตั้งโต๊ะ, อีเมลล์, วอยซ์เมลล์, เครื่องแฟกซ์, มัลติมีเดีย, คอมพิวเตอร์ คอนเฟอร์เรนซิ่ง และ วิดิโอคอนเฟอร์เรนซิ่ง


หลายปีที่ผ่านมา สำนักงานอิเลคทรอนิคส์ (E-Office) ถูกมองว่า มีเพียงหน้าที่แก้ปัญหาในการทำงาน แต่ในปัจจุบัน ระบบที่ช่วยเสริมการติดต่อ สื่อสารในสถานที่ทำงาน ถูกมองว่ามีความสำคัญ และต้องได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ในระดับเดียวกับระบบ TPS, MIS และ ISS
สำนักงานอิเลคทรอนิคส์ (E-Office) ในปัจจุบัน ดูเหมือนกับไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้จริง ๆ แตกต่างจากสำนักงานที่ใช้เพียงเครื่องจักรกล เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเครื่องพิมพ์ดีด, เครื่องยนต์ กลไล และ ระบบไปรษณีย์ เป็นความหมายหลักของการติดต่อสื่อสาร ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเรื่องน่าทึ่งที่ยังรอคอยเราอยู่ เรากำลังจะได้เริ่มเห็นบทบาทของ บริษัทเสมือนจริง ซึ่งสามารถทำให้ เราทำงานได้ในทุกแห่ง ปราศจากข้อจำกัดด้านพื้นที่

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ห้องประชุมแบบห้องเรียน






การจัดสถานที่สัมมนา



1. จำนวนผู้เข้าร่วมสัมมนาทั้งหมด จัดที่นั่ง จัดห้องสัมมนา

2. จำนวนและขนาดของห้องที่ใช้สัมมนา จัดให้เหมาะสมกับจำนวนคน

3. สถานที่ตั้งของห้องสัมมนาหรือห้องประชุม เดินทางสะดวก เป็นที่รู้จัก อาคาร ชั้น ห้อง ระบุให้ละ

4. ห้องสัมมนา ห้องรับรอง ห้องน้ำ ควรอยู่บริเวณใกล้กัน

5. ห้องสัมมนาควรเป็นเอกเทศ ไม่มีกลิ่น แสง เสียง รบกวน

6. มีอากาศถ่ายเทสะดวก อุณหภูมิ แสงสว่าง ระบบเสียง ที่เหมาะสมเอียด ทำป้ายเดินทางเข้าสู่ห้องสัมมนา มีแผนที่ประกอบ

7. เครื่องอำนวยความสะดวก จัดหาระบบโสตฯ และเครื่องมือที่จำเป็นพร้อมผู้ดูแล

8. จัดทำแผนที่เดินทางมาห้องสัมมนา ขนาดใหญ่-เล็ก ประชาสัมพันธ์

9. จัดทำผังห้องสัมมนา ติดลูกศรชี้ทางเข้า-ออก ติดป้ายชื่อห้องให้ชัดเจน

10. จัดเตรียมป้ายชื่อ วิทยากร ประธาน ป้ายรับลงทะเบียน ป้ายฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฯลฯ

11. วางแผนออกแบบเวทีสัมมนา


รูปแบบการจัดห้องสัมมนา


ห้องขนาดใหญ่สำหรับผู้เข้าร่วมสัมมนาที่มีปริมาณมาก จัดโต๊ะวิทยากรไว้ด้านหน้าสูงกว่าโต๊ะผู้เข้าร่วมสัมมนา เช่น

แบบห้องเรียน



เป็นที่นั่งแบบมีโต๊ะและเก้าอี้ แถวเรียงต่อเนื่องกัน มีช่องทางเดินตรงกลาง






วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เคล็ดลับการแต่งดวงตาและริมฝีปาก



แต่งตา และ ปาก ให้ลงตัว

Step 1 : ลงคอนซีลเลอร์ลบรอยคล้ำใต้ตาตามด้วยรองพื้นและแป้งฝุ่นให้ทั่วใบหน้า จากนั้นลงครีมบลัชเฉดสีพีชบริเวณข้างแก้มแล้วใช้นิ้วมือไล้ให้จางเข้ามาด้านหน้าแก้ม หลังจากนั้นจึงลงครีมบลัชเฉดสีชมพูบริเวณด้านหน้าแก้มแล้วเกลี่ยออกด้านข้างให้กลมกลืน

Step 2 : ลงอายแชโดว์สีชมพูอ่อนบริเวณหางตาแล้วเกลี่ยขึ้นไปให้ทั่วเปลือกตาบน

Step 3 : ลงอายแชโดว์เฉดสีน้ำเงินอมม่วงให้ทั่วเปลือกตาล่าง แล้วไล้ขึ้นไปให้เหลื่อมกับอายแชโดว์สีชมพูเล็กน้อย

Step 4 : วาดขอบตาบนและล่าง ด้วยฟลูอิดไลเนอร์สีดำเทา โดยวาดขอบตาบน ตั้งแต่หัวตาจรดหางตา ขอบตาล่างตั้งแต่หางตาถึงกึ่งกลางตา แล้วทาทับด้วยอายแชโดว์เฉดสีเขียวเข้ม จากนั้นลงอายแชโดว์สีทองประกายมุกบริเวณหัวตาเพื่อเพิ่มความสดใส หลังจากนั้นจึงดัดขนตาให้งอนงามแล้วปัดทับด้วยมาสคาร่าสีน้ำทะเล

Step 5 : ริมฝีปากอิ่มสวยด้วยลิปสติกและลิปกลอสโทนสีส้มธรรมชาติ